คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

Saturday, March 23, 2019

สมุนไพรขางครั่ง

ขางครั่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Dunbaria longiracemosa Craib 


(ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dunbaria longeracemosa Craib) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE


 มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดอกครั่ง (เชียงใหม่), เถาครั่ง (เลย) ส่วนลำพูนเรียก "ขางครั่ง"

ลักษณะของขางครั่ง
ต้นขางครั่ง จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อยหรือไม้พุ่มเลื้อยพัน ลำต้นมีความยาวได้ประมาณ 3-5 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 2.83-9.47 มิลลิเมตร ลำต้นเป็นสีเขียวอมน้ำตาลและมีขนละเอียดยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ขึ้นปกคลุมอยู่มาก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและปักชำ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำดี ชอบที่ร่มและมีความชุ่มชื้น ในประเทศไทยพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในพื้นที่มีร่มเงาน้อย ดินเหนียว เนื้อดินละเอียด เช่น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา หรือพบได้ในป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าดิบ จนถึงความสูง 400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนในต่างประเทศมีเขตการกระจายพันธุ์ในลาว กัมพูชา และเวียดนาม
ใบขางครั่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบย่อยส่วนปลายเป็นรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก ส่วนใบย่อยด้านข้างจะมีลักษณะเป็นรูปไข่เบี้ยวหรือรูปใบหอกแกมสามเหลี่ยม ใบส่วนปลายนั้นมีขนาดกว้างประมาณ 2.05-2.73 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5.94-8.88 เซนติเมตร ส่วนใบย่อยด้านข้างกว้างประมาณ 1.8-2.14 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5.11-6.61 เซนติเมตร ส่วนก้านใบรวมยาวประมาณ 1.01-2.91 เซนติเมตร ก้านใบข้างจะสั้นมากหรือยาวได้เพียง 2 มิลลิเมตร หน้าใบและหลังใบมีขนละเอียดสั้น ๆ ขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ผิวใบนุ่ม สีใบด้านหน้าเป็นสีเขียวอมเหลืองอ่อนถึงเขียวเข้มและค่อนข้างมัน ส่วนสีใบด้านหลังจะเป็นสีเขียวอมเหลืองเข้มกว่าด้านหน้าและผิวออกด้านเล็กน้อย ขอบใบมีรอยหยักแบบขนครุย เส้นใบด้านหลังนูนขึ้นเป็นสันเล็กน้อย เส้นใบแตกแบบขนนก ก้านใบมีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่น หูใบแหลม สั้นประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร
ดอกขางครั่ง ออกดอกเป็นช่อกระจะตามซอกใบ เป็นช่อยาวประมาณ 6.43-14.29 เซนติเมตร ดอกย่อยมีหลายดอก ลักษณะของดอกเป็นรูปดอกถั่ว มีจำนวน 6-35 ดอกต่อช่อ เกิดเรียงสลับรอบแกนช่อดอก กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเขียวอมเหลือง ส่วนด้านในเป็นสีม่วงอมแดงเข้ม ช่อดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ส่วนดอกเพศเมียจะเป็นช่อง 3 ช่อง โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม
ผลขางครั่ง ผลมีลักษณะเป็นฝักแบนยาว มีขนละเอียดขึ้นปกคลุม เมื่อแห้งจะแตกเป็นสองแนว ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาล ออกผลในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมขางครั่ง

สรรพคุณของขางครั่ง
ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้รากหรือใบขางครั่ง นำมาผสมกับใบโผงเผง บดให้เป็นผงละเอียด ปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้ไข้ (ราก, ใบ)

ประโยชน์ของขางครั่ง
ดอกสามารถนำมาใช้บริโภคได้ โดยนำมาทำเป็นผักรวม ทำอาหารประเภทผักหรือใช้ใบอ่อนและช่อดอกรับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก ให้รสฝาดมัน
ฝักใช้รับประทานได้
ใช้เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับสัตว์แทะเล็มของโคกระบือ โดยคุณค่าทางอาหารของใบและเถาอ่อนนั้น จะมีค่าโปรตีน 13.34%, เยื่อใย 29.14%, ไขมัน 2.18%, เถ้า 6.87%, คาร์โบไฮเดรต (NFE) 48.47%, เยื่อใยส่วน ADF 33.38%, NDF 45.11%, ลิกนิน 9.88%

ขอบคุณแหล่งที่มา https://medthai.com

No comments:

Post a Comment