คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

Friday, June 21, 2019

16 สมุนไพรไทย ป้องกันโรคช่วงหน้าฝน


นายแพทย์ ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ โฆษกกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เรียกฤดูกาลนี้ว่า วสันตฤดู สภาพอากาศจะเย็นและชื้น หากกระทบร่างกาย จะส่งผลให้ธาตุลมในร่างกายเสียสมดุลเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ดูแลสุขภาพไม่ดี และโรคที่มักเกิดได้บ่อย ได้แก่ อาการหวัด คัดจมูก ไอ จาม ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น กลุ่มเสี่ยงที่เจ็บป่วยได้ง่าย คือ คนธาตุลม ตามหลักการแพทย์ แผนไทย หมายถึง คนที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด บาคาร่า ซึ่งจะต้องรักษาสุขภาพเป็นพิเศษ

จึงขอแนะนำประชาชนอย่ามองข้ามภูมิปัญญาพื้นบ้านที่นำพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อนมาปรุงอาหารเพื่อป้องกันโรค เพราะสมุนไพรรสเผ็ดร้อนจะกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้วิงเวียนศีรษะได้ดี ดังนี้

ขิง

ข่า

ตะไคร้

ใบกะเพรา

กระชาย

แมงลัก

สะระแหน่

ชะพลู

ขมิ้นขาว

ขมิ้นชัน

ผักชี

โหระพา
หอมแดง

กระเทียม

ใบมะกรูด

พริกไทย

เป็นต้น

เมนูอาหารที่แนะนำ เช่น แกงส้ม ต้มยำ น้ำพริกผักจิ้ม ไก่ผัดขิง

นอกจากนี้ยังแนะนำน้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำขิง

ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณการบริโภคช่วงฤดูฝน คือ อาหารที่มีรสหวานจัด มันจัด และอาหารที่ย่อยยาก เพราะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ธาตุลมในร่างกายแปรปรวน และเสียสมดุลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย


แก้หวัดด้วยสมุนไพรไทย
หากเกิดอาการหวัด คัดแน่นจมูก หรือภูมิแพ้อากาศ ทางการแพทย์แผนไทยก็มีวิธีแก้ง่ายๆ ด้วยการรมไอน้ำ ขั้นตอนไม่ยุ่งยากสามารถทำที่บ้านได้ด้วยตนเอง ดังนี้

นำหอมแดง 3-4 หัว ทุบพอแหลก

ใส่หอมแดง ใบมะขาม และใบส้มป่อยอย่างละ 1 กำมือ ใส่กะละมังหรือหม้อที่ทนความร้อนแล้วเติมน้ำร้อนใส่พอท่วมสมุนไพร

ปิดฝาหม้อไว้ 2-3 นาที ให้น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรส่งกลิ่นหอม

ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ คลุมศีรษะ และเปิดฝาหม้อรมไอน้ำให้ทั่วใบหน้า

สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ประมาณ 5-10 นาที หรือกว่าไอน้ำจะหมด
ทำช่วงเช้าเป็นระยะเวลา 4-5 วัน อาการคัดแน่นจมูกจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ



ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Tuesday, June 18, 2019

สะระแหน่ Marsh mint


สะระแหน่  Marsh mint
สะระแหน่ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือไม้กระถาง เป็นไม้ล้มลุก บาคาร่า อายุหลายปี ใบใช้โรยหน้าอาหารรสจัด เช่น ลาบ ก้อย พล่า น้ำตก เพื่อดับกลิ่นคาวและปรุงแต่งกลิ่นอาหารให้น่ากินยิ่งขึ้น ใบทำให้ชุ่มคอ เป็นยาขับลม ถอนพิษไข้ ปวดศีรษะ ตาแดง แก้เจ็บคอ ตำพอกหรือทาแก้ปวดบวม ผื่นคัน

วิธีการปลูก (ปักชำ)
เลือกกิ่งสะระแหน่ที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป
ปักจิ้มลงไปในแปลงเพาะชำ หรือแปลงปลูก
ปักให้กิ่งเอนทาบกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะ
แล้วโรยแกลบทับกลบดินเพื่อรักษาความชุ่มชื่นให้หน้าดิน และเมื่อแกลบผุก็จะกลายเป็นปุ๋ยต่อไป ประมาณ 4-5 วันก็จะแตกใบ แตกยอดเลื้อยคลุมดิน







ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Monday, June 17, 2019

สรรพคุณของ ขิง Ginger


ขิง Ginger
ยอดอ่อนกินเป็นผักสดกับอาหารรสจัดต่าง ๆ และใช้เป็นสารกันบูดกันหืนได้ดี มีมากในฤดูฝน เหง้าอ่อนใช้ปรุงอาหาร ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อปลา เหง้าขิงและใบขิงมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร บาคาร่า แก้ท้องอืดท้องเฟ้อที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย รวมถึงแก้อาการเมารถ ไมเกรน ลดคอเลสเตอรอล และอาการปวดตามข้อได้ด้วย หน่ออ่อนของขิงจะมีรสเผ็ดร้อนควรขุดขึ้นมาหลังจากต้นเริ่มแตกหน่อ 3 – 5 เดือน


วิธีการปลูก (ปักชำ)
ขิงขยายพันธุ์ได้โดยใช้เหง้า มักใช้วิธีการยกร่องปลูกเพื่อให้มีการระบายน้ำดี ระยะห่างระหว่างสันร่อง ประมาณ 50 – 70 เซนติเมตร และสูงประมาณ 15 – 25 เซนติเมตร ความยาวของร่องไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและขนาดของที่ดิน การปลูกขิงทำได้โดย                                                                                                                             

1.วางท่อนพันธุ์ลงในหลุมลึกประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร หลุมละ 1 ท่อน ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ  25 – 35 เซนติเมตร
2.ขิงที่ใช้ทำพันธุ์ควรเป็นขิงแก่อายุประมาณ 10 – 12 เดือน ก่อนนำมาปลูกให้เอาขิงไปผึ่งไว้ในที่ร่มแห้งและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้เหมาะต่อการขยายพันธุ์ต่อไป                                                                         
3.นำท่อนพันธุ์มาหั่นเป็นท่อน แต่ละท่อนยาวประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งประกอบด้วยตาประมาณ 2 – 3 ตา                     
4.จากนั้นไปแช่น้ำยาป้องกันโรครากเน่าและเชื้อรา ประมาณ 10 นาที                                                           
5.แล้วนำไปผึ่งให้แห้งอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเอาไปปลูก



ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Friday, June 14, 2019

สมุนไพร ข่า Greater Galangal


ข่า Greater Galangal
ข่าปลูกเป็น ผักสวนครัว ในงานจัดสวนสามารถปลูกประดับแปลงตามแนวรั้วได้ มีสรรพคุณเป็นได้ทั้งอาหารและยา ทุกส่วนของต้นมีน้ำมันหอมระเหย โดยเฉพาะเหง้าที่ใช้ปรุงแกง ช่วยดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ทำให้แกงมีกลิ่นหอมชวนกิน บาคาร่า ข่าอ่อนและดอกมีรสเผ็ดซ่า กินได้อร่อยเช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด

วิธีการปลูก (ปักชำ)

1.ในการปลูกข่าเราต้องใช้เหง้าในการขยายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ควรใช้เหง้าที่มีลักษณะแก่จัด เพราะถ้าใช้เหง้าอ่อนจะงอกได้ช้า
2.ล้างเหง้าให้สะอาดและตัดแต่งให้เรียบร้อยก่อนที่จะปลูกลงดิน
3.หลังจากที่ทำการเตรียมดินเรียบร้อยแล้วก็สามารถเอาเหง้าของข่าปลูกลงไปในดินได้เลย สำหรับการกลบดินนั้น ควรจะนำใบไม้แห้งมากลบเอาไว้ด้วยเพื่อรักษาความชื้น ต้นกล้าจะได้โตเร็ว
4.การกลบดินควรกลบขึ้นมาให้นูนเล็กน้อย เพราะหลังจากการปลูกแล้วต้องรดน้ำทันที ดินก็สามารถยุบตัวลงไปได้อีก








ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

ตะไคร้ Lemongrass


ตะไคร้ Lemongrass
ปลูกเป็นผักสวนครัว ทั้งปลูกลงดินและปลูกในภาชนะ ใช้ปรุงกลิ่นแกงหรือยำให้หอม ความหอมจากน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติลดการบีบตัวของลำไส้ แก้จุกเสียดแน่นท้อง ควรกินเสริมกันไปในอาหารให้สมดุล กลิ่นหอมของตะไคร้ยังช่วยไล่ยุงไล่แมลงบางชนิดได้ด้วย             บาคาร่า

วิธีการปลูก  (ปักชำ)
1.เตรียมแปลงโดยการไถพรวนดิน ตากแดด 7-10 วันและโรยปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน
2.ขุดหลุมปลูกขนาด 25x25x25 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกเก่ารองก้นหลุมไปพร้อมๆกับการพรวนดิน
3.ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 1 เมตร จะได้ตะไคร้ที่ลำต้นและหัวอวบใหญ่ แต่ถ้าหากปลูกชิดกว่านี้ต้นตะไคร้จะไม่อวบ ลำต้นจะผอมสูง
4.ปักเหง้าตะไคร้ลงดินให้มีลักษณะเอียง 45 องศา ลึก 5 เซนติเมตร จำนวนหลุมละ 2 ต้น
5.จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มบริเวณหลุมปลูก








ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Thursday, June 13, 2019

กะเพรา Holy Basil

กะเพรา Holy Basil
ปลูกเป็นผักสวนครัว หลังปลูกอายุ 70 วัน ก็เก็บส่วนยอดและใบมาทำ อาหาร ได้ ยิ่งเด็ดก็ยิ่งแตกยอดใหม่ทดแทน เมื่อออกดอกควรตัดช่อดอกที่แก่ออกบ้างเพื่อช่วยยืดอายุของต้น เนื่องจากกะเพรามีกลิ่นและรสที่รุนแรง จึงช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายเรียกน้ำย่อย นิยมใช้ปรุงแต่งกลิ่นและดับคาวในอาหารจานเนื้อ  แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ในแง่คุณค่าทางอาหาร มีเบต้าแคโรทีนสูง เสริมด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รวมทัั้งใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยใช้หยดในอ่างอาบน้ำ มีกลิ่นที่หอมสดชื่น กะเพราะที่นิยมปลูกมีทั้งกะเพราะขาว ซึ่งมีใบสีเขียว และกะเพราะแดงที่มีใบสีม่วงเข้มแกมน้ำตาล
วิธีการปลูก (เพาะเมล็ด)
1.หว่านเมล็ดให้ทั่วแปลง ใช้ฟางกลบ หรือปุ๋ยคอกโรยทับบางๆ
2.รดน้ำตามทันที ควรใช้ฟักบัวรดน้ำต้นไม้รูเล็กๆ
3.จากนั้นอีกประมาณ 7 วัน เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
4.รอจนต้นกล้าอายุ 1 เดือน ก็ค่อยๆ ถอนแยกจัดระยะต้นให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30                 เซนติเมตร
5. เมื่อต้นกล้าโตเต็มที่ก็เก็บใบมารับประทาน









ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Wednesday, June 12, 2019

กาสะลอง ไม้ยืนต้นสารพัดคุณค่า ที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่ดอกหอม


กาละสอง หรือในอีกชื่อคือปีบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรงสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก ต้นกาสะลองขยายพันธุ์ด้วยการนำเมล็ดมาเพาะ หรือจะใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากรากรอบๆ ของต้นแม่แล้วนำมาตัดเป็นท่อนสั้นๆ ก่อนนำไปปักชำในกระบะดินผสมขี้เถ้าแกลบ


ลักษณะใบของกาสะลองเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ลักษณะ ใบมีรูปร่างคล้ายรูปหอกแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ฐานเป็นรูปลิ่ม ขอบใบหยัก

สำหรับดอกปีบนั้นมีลักษณะเป็นช่อ ความยาวของดอกประมาณ 10-25 เซนติเมตร สำหรับดอกย่อยๆ นั้นประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียว ดอกมีกลิ่นหอม โดยดอกปีบจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนผลของกาสะลองนั้นเป็นผลแห้งแตก ผลแบนยาวมีเนื้อและเมล็ดจำนวนมากเป็นแผ่นบางมีปีก



สรรพคุณของปีบ

ดอก : สรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง,บำรุงโลหิต,ใช้เป็นยารักษาไซนัสอักเสบ,รักษาริดสีดวงจมูก,ใช้เป็นยาแก้ลม,ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย ทำให้ระบบการหายใจดียิ่งขึ้น

ราก : บำรุงปอด,ช่วยรักษาวัณโรค,ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย ทำให้ระบบการหายใจดียิ่งขึ้น,ช่วยรักษาปอดพิการ

ใบ: ใบใช้มวนเป็นบุหรี่สูบแทนฝิ่น เพื่อช่วยขยายหลอดลมและรักษาอาการหอบหืด



ประโยชน์ของปีบ

-ดอกปีบสามารถนำมาตากแห้งแล้วชงในน้ำร้อนทำเป็นชาได้ ดอกปีบชงจะมีกลิ่นหอม รสหวานนุ่มนวล ไม่ขมและยังดีต่อสุขภาพ

-สามารถนำเนื้อไม้ของต้นปีบมาทำเป็นเครื่องเรือนหรือของตกแต่งภายในบ้านได้

-เนื่องจากปีบเป็นไม้ที่มีใบและดอกสวยงามทั้งยังมีกลิ่นหอม จึงสามารถปลูกประดับสวนหรือให้ร่มเงาได้

-นอจากนี้ยังเชื่อกันว่าการปลูกต้นปีบนั้นจะส่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน โดยเชื่อกันว่าจะช่วยทำให้เก็บเงินเก็บทองได้มากขึ้น และนำมาซึ่งชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย ทิศที่แนะนำในการปลูกคือทิศตะวันตก สำหรับผู้ปลูกนั้นควรเป็นผู้ที่เกิดในวันจันทร์เพราะปีบเป็นดอกไม้ประจำนางโคราคะเทวี นางประจำวันจันทร์ในธิดาของพระอินทร์ และควรปลูกในวันเสาร์เพื่อถือเคล็ดและเป็นมงคลมากยิ่งขึ้น






ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Tuesday, June 11, 2019

ดอกอัญชัน สมุนไพรไทย


ดอกอัญชันเป็นทั้งดอกไม้และสมุนไพรไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วเราจะรู้จักสรรพคุณของดอกอัญชันในด้านการช่วยทำให้คิ้วดกดำ และสามารถคั้นน้ำดอกอัญชันมาทำเป็นน้ำสมุนไพรหรือขนมต่าง ๆ ได้อีกมากมาย แต่ในวันนี้กระปุกดอทคอมจะขอนำเสนอดอกอัญชันในอีกแง่มุมว่า สมุนไพรดอกอัญชันแก้โรคอะไรได้บ้าง ซึ่งจะไล่เรียงจากข้อมูลที่จะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับสมุนไพรดอกอัญชันมากขึ้นกันก่อน

                                                                                บาคาร่า
ดอกอัญชัน กับความเป็นมา

          อัญชัน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Butterfly pea, Blue pea, หรือ Asian pigeonwings ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของดอกอัญชันก็คือ Clitoria ternatea L. โดยดอกอัญชันเป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในกลุ่มพืชตระกูลถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ Leguminosae เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้ และโดยทั่วไปจะนิยมปลูกดอกอัญชันในเขตร้อน

          ลักษณะต้นอัญชันเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก ใบเป็นใบประกอบ ดอกอัญชันเป็นดอกเดี่ยว มีสีน้ำเงินเข้มหรือน้ำเงินอมม่วง และสีขาว ดอกชั้นในแบ่งเป็น 5 กลีบ กลีบนอกมีสีเขียว มีผลเป็นฝัก ลักษณะแบนคล้ายฝักถั่ว ขนาดยาวประมาณ 5-10 ซม. ดอกอัญชันมีชื่อเรียกตามท้องถื่นที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น ในภาคเหนือจะเรียกดอกอัญชันว่า เอื้องชัน แต่ในจังหวัดเชียงใหม่จะเรียกว่าแดงชัน

          ทำความรู้จักดอกอัญชันกันไปแล้ว คราวนี้เรามาดูกันค่ะว่า สมุนไพรดอกอัญชันแก้โรคอะไรได้บ้าง ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลย

สมุนไพรดอกอัญชันแก้โรคอะไรได้บ้าง

1. แก้ผมร่วง
          ดอกอัญชันมีสารแอนโทไซยานินซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็ก ๆ ของร่างกาย เช่น หลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมได้ดียิ่งขึ้น แก้อาการผมร่วงได้ดีในระดับหนึ่ง โดยหากจะใช้ดอกอัญชันแก้ผมร่วง ก็สามารถกินดอกอัญชันจิ้มน้ำพริก กินเป็นอาหารชนิดอื่น ๆ หรือจะตำดอกอัญชันประมาณ 1 หยิบมือ แล้วนำมาผสมกับน้ำเปล่า กรองเอาแต่น้ำดอกอัญชันมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วสระผมตามปกติก็ได้

2. แก้อาการตาฝ้าฟาง เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น

          สารแอนโทไซยานินในดอกอัญชันสามารถช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพดวงตา เช่น อาการตาฝ้าฟาง ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน และโรคต้อกระจกได้ เนื่องจากสารตัวนี้ที่มีอยู่ในพืชที่มีสีม่วง สีแดง หรือสีน้ำเงิน มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของหลอดเลือดขนาดเล็กในดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นให้เราได้

3. แก้อาการอาหารเป็นพิษ

          จริง ๆ แล้วสารแอนโทไซยานินในดอกอัญชันก็จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งนะคะ และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหาร ช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษหรืออาการท้องเดินได้ ซึ่งวิธีแก้ก็คือกินดอกอัญชันชุบแป้งทอด หรือจะดื่มน้ำอัญชันก็ได้ ทั้งนี้นอกจากดอกอัญชันแล้ว เรายังสามารถหาสารแอนโทไซยานินได้จากดอกกะหล่ำม่วงและมะเขือม่วงด้วยล่ะ





ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Sunday, June 9, 2019

ดอกดาวเรือง



ดอกดาวเรือง ใช้เป็นยาอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
                                                                                บาคาร่า
          * หลีกเลี่ยง การซื้อดอกดาวเรืองมาทำยาหรือต้มเป็นชา เพราะอาจเสี่ยงได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายได้ ทางที่ดีจึงควรนำดอกดาวเรืองที่ปลูกเอง และเด็ดจาดต้นเองมาใช้เป็นยาเพื่อความปลอดภัย

          * ไม่ควรกินดอกดาวเรืองตูมสด เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดที่ยืนยันถึงประโยชน์ของดอกดาวเรืองตูมสด มีเพียงงานวิจัยจากสารสกัดดอกดาวเรืองเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราต้องการจากดอกดาวเรืองคือสารสีเหลือง ซึ่งจำเป็นต้องผ่านกระบวนการสกัดด้วยวิธีต่าง ๆ มาก่อน

          * ควรรับประทานดอกดาวเรืองที่ตากแห้ง โดยนำมาชงดื่มเป็นชา ส่วนในเคสที่ใช้ภายนอก สามารถนำน้ำดอกดาวเรือง หรือน้ำจากใบดอกดาวเรือง รวมถึงใบดอกดาวเรืองสด ๆ ตำละเอียดได้ แต่หากใช้ภายใน (ดื่ม-กิน) ควรใช้ดอกดาวเรืองตากแห้ง

          * ผู้ป่วยโรคตับและโรคไตไม่ควรรับประทานดอกดาวเรืองไม่ว่าจะในรูปแบบใด ๆ เนื่องจากร่างกายอาจมีปัญหาในการขับสารจากดอกดาวเรือง ส่งผลให้ตับและไตทำงานหนักได้

          * หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทานดอกดาวเรือง เพราะอาจส่งผลเสียต่อทารกได้

          * ไม่ควรรับประทานดอกดาวเรืองบ่อยเกินไป ควรกินบ้าง หยุดบ้าง หรือหมุนเวียนกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการตกค้างของสารชีวเคมีจากดอกดาวเรืองในร่างกาย เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดที่ศึกษาผลข้างเคียงจากการรับประทานดอกดาวเรืองในระยะเวลานาน ๆ ว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหรือไม่

          สมุนไพรทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดอกดาวเรืองหรือสมุนไพรชนิดอื่น ๆ หากใช้อย่างเหมาะสมและถูกต้องก็จะเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ถือเป็นการรักษาโรค และวิธีบรรเทาปัญหาสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าลอง




ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

สมุนไพรกระเจี๊ยบแดง



กระเจี๊ยบแดง

          ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทยจากกองโภชนาการ กรมอนามัย แสดงคุณค่าทางโภชนการของใบกระเจี๊ยบในปริมาณ 100 กรัม ดังนี้

          พลังงาน 48 กิโลแคลอรี

          น้ำ 87.9 กรัม

          โปรตีน 1.7 กรัม

          ไขมัน 0.1 กรัม

          คาร์โบไฮเดรต 10.1 กรัม

          ไฟเบอร์ 1.3 กรัม

          เถ้า 0.2 กรัม

          แคลเซียม 9 มิลลิกรัม

          ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม

          เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม

          ไทอะมีน 0.11 มิลลิกรัม

          ไรโบฟลาวิน 0.24 มิลลิกรัม

          ไนอะซิน 4.5 มิลลิกรัม

          วิตามินซี 44 มิลลิกรัม

สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง

          คราวนี้เรามาดูสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงกันบ้างดีกว่า กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณจะแรงฤทธิ์เหมือนสีที่แจ่มจรัสไหม ตามมาดูกันค่ะ

1. ลดไข้

          ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และต้านการอักเสบ นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยนะคะ
2. แก้ไอ ละลายเสมหะ

          ในตำรับยาแผนโบราณพบว่าใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ไหลลงสู่ทวารหนัก ทั้งยังช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกต่างหาก

3. ขับปัสสาวะ

          จากการศึกษาให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง พบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะได้ดี โดยในการทดลองได้ใช้กลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบแดงตากแห้ง บดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ส่วนในตำราพื้นบ้าน แนะนำให้นำกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงมาชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับปัสสาวะได้

4. แก้กระหาย ให้ร่างกายสดชื่น
          ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และกรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลายและแก้กระหาย โดยนำดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ต้มในน้ำเดือดเป็นน้ำกระเจี๊ยบหอมหวานชื่นใจ

5. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

          ดอกกระเจี๊ยบมีสรรพคุณต้านการอักเสบ และมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

6. ลดไขมันในเลือด

          ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อนหรือต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัด

7. ป้องกันโรคหัวใจ

          สารแอนโธไซยานินที่ทำให้กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยนิยมนำกระเจี๊ยบแดงไปต้มกับพุทราจีน เพื่อบำรุงหัวใจ

8. รักษาแผล

          ใบของกระเจี๊ยบมีสรรพคุณในการต้านอาการอักเสบ จากตำรับยาแผนโบราณจะพบว่ามีการนำใบสดของกระเจี๊ยบแดง ล้างให้สะอาด และตำให้ละเอียด จากนั้นนำมาประคบฝีหรือต้มใบแล้วนำน้ำต้มใบมาล้างแผล ก็จะช่วยบรรเทาอาการแผลให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ใบยังมีวิตามินเอ สามารถทานบำรุงสายตาได้

9. ป้องกันโลหิตจาง

          กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้

10. ลดน้ำตาลในเลือด

          จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส แลแอลฟา-กลูโคซิเดส

11. ลดความดันโลหิต

          จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)

12. ปกป้องไต

          การศึกษาในคลินิกที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 กรัมต่อวัน พบว่า สารพฤกษเคมีในกระเจี๊ยบแดงมีส่วนช่วยขับครีเอตินิน กรดยูริก ซิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต และในข้อมูลสัตว์ทดลองยังพบว่า กรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงขนาด 750 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สามารถป้องกันและยับยั้งการพัฒนาของก้อนนิ่วได้ ทว่าผลการยับยั้งนิ่วในคนยังต้องศึกษากันต่อไป

13. ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ

          มีการศึกษาที่ยืนยันว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยสารในกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ปัสสาวะเป็นกรดจึงช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้

ข้อควรระวังของกระเจี๊ยบแดง

          โทษและความเป็นพิษของกระเจี๊ยบแดงก็มีเหมือนกันนะคะ โดยจากการศึกษาพบว่า สารสกัดดอกกระเจี๊ยบแดงในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อการสร้างอสุจิและจำนวนอสุจิที่ลดลง จึงไม่ควรกินกระเจี๊ยบแดงในปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป

          นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องก็ไม่ควรทานกระเจี๊ยบแดง รวมทั้งสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นกันค่ะ เพราะผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า อาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง

          ส่วนกระเจี๊ยบแดงที่ถูกใช้มากที่สุดก็เป็นกลีบเลี้ยงหรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นส่วนดอกของกระเจี๊ยบนั่นเองค่ะ และนอกจากทำน้ำกระเจี๊ยบดื่มแก้กระหายแล้ว เรายังสามารถนำยอดและใบอ่อนของกระเจี๊ยบมาปรุงอาหาร หรือคั้นเอาสีแดงของกลีบดอกมาแต่งสีอาหารได้ด้วยนะคะ






ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Saturday, June 8, 2019

เต่าเกียด สรรพคุณและประโยชน์ของว่านเต่าเกียด 4 ข้อ !


สมุนไพรเต่าเกียด มีชื่อเรียกอื่นว่า โหรา (ชุมพร), เต่าเขียด ว่านเต่าเขียด (ภาคกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของเต่าเกียด
ต้นเต่าเกียด จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นเหง้าหรือหัวที่อยู่ใต้ดิน ส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินนั้นจะมีเพียงก้านใบและใบเท่านั้น ซึ่งจะมีความสูงได้ประมาณ 16-36 นิ้ว ซึ่งจะชูใบแตกขึ้นมาบนผิวดิน ก้านใบนั้นมีลักษณะกลมเรียวเป็นสีเขียวแกมแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ เป็นพรรณไม้ที่ชอบอยู่ในที่ชื้น จัดเป็นพืชเมืองร้อน ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าชื้นทั่ว ๆ ไป

ใบเต่าเกียด ลักษณะของใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบไม่มีจัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-6 นิ้ว และยาวประมาณ 4-8 นิ้ว แผ่นใบเป็นสีเขียว มีก้านใบยาวซึ่งจะชูใบแตกขึ้นมาบนผิวดิน

ดอกเต่าเกียด ออกดอกเป็นช่อ แต่จะไม่มีก้านช่อดอก ดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง ลักษณะของดอกจะคล้ายกับดอกบอน แต่จะมีขนาดเล็กกว่า

สรรพคุณของเต่าเกียด
ทั้งต้นนำมาตำแล้วใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง (ทั้งต้น)

ประโยชน์ของเต่าเกียด

เหง้านำมาบดให้เป็นผง ใช้ผสมกับใบยาสูบและยานัตถุ์ได้ ซึ่งเหง้านี้จะมีกลิ่นหอม และเมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันหอมสีเหลือง ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้น (Stimulant)

เหง้าสามารถนำมาใช้ผสมกับเครื่องเทศใส่แกงทำให้มีรสหอมได้

ว่านเต่าเขียด จัดเป็นไม้มงคลในด้านการค้าและเมตตามหาเสน่ห์ ช่วยพัดโบกเงินทองและสิ่งอันเป็นมงคลให้เข้ามาภายในบ้าน สิ่งที่ไม่ดีตลออดจนโรคภัยไข้เจ็บก็ให้ห่างไกล ส่วนการปลูกจะใช้ส่วนผสมของดินร่วน 5 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน เปลือกถั่วและอิฐก้อนเล็กน้อยอย่างละ 1 ส่วน






ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Friday, June 7, 2019

6 ประโยชน์ของพริกไทยดำ แน่ใจหรือยังว่าไม่ได้พลาดสักข้อ !

          พริกไทยดำมีรสจัดจ้านและมีประโยชน์ในตัวเองที่ไม่ได้น้อยหน้าสมุนไพรไทยชนิดอื่น ๆ สักนิด โดยประโยชน์ของพริกไทยดำที่เราคุ้นเคยคงเป็นเรื่องของการช่วยดับกลิ่นคาวของอาหาร ช่วยปรุงรสชาติอาหารให้เผ็ดร้อนมากขึ้น และนั่นก็เป็นประโยชน์ที่ส่งผลมาถึงสุขภาพของเราอยู่แล้วนะคะ ทว่า Reader’s digest ยังช่วยไกด์ประโยชน์ของพริกไทยดำที่ใครหลายคนอาจยังไม่เคยรู้เพิ่มาอีก 6 ข้อด้วยกันตามนี้                                                 คาสิโนออนไลน์


1. บรรเทาอาการไอมีเสมหะด้วยชาพริกไทยดำ

          การแพทย์ชนบทของอังกฤษและแพทย์แผนจีนใช้ชาพริกไทยดำผสมน้ำผึ้งบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะมาอย่างยาวนานแล้ว เนื่องจากพริกไทยดำมีรสเผ็ดร้อนจึงสามารถละลายเสมหะที่ติดอยู่ใ­­นลำคอให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้นได้ ส่วนน้ำผึ้งก็มีสรรพคุณคล้ายยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ กำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียอย่างหมดจด อาการไอแถมเสมหะของเราจึงเบาบางลงเพียงแค่ดื่มชาพริกไทยดำผสมน้­­ำผึ้งอุ่น ๆ สักแก้ว

2. ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้สำเร็จ

         ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Alternative and Complementary Medicine เมื่อปี 2013 พบว่า น้ำมันสกัดจากพริกไทยดำสามารถลดความอยากสูบบุหรี่ของคนที่ตั้งใ­­จจะเลิกบุหรี่ได้ชะงัด ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่ากลิ่นเผ็ดร้อนของพริกไทยดำที่ถูกสูดผ่า­­นหลอดลมจะคล้ายความรู้สึกตอนที่สูบบุหรี่เปี๊ยบเลยเชียว ดังนั้นใครอยากเลิกบุหรี่ก็ลองหาน้ำมันสกัดจากพริกไทยดำมาชุบสำ­­ลีแล้วดมดูสิ

3. บรรเทาอาการคัดจมูก

          พริกไทยดำถือว่าเป็นยาบรรเทาอาการคัดจมูกที่ธรรมชาติส่งมาให้เล­­ยล่ะค่ะ เพราะว่าในพริกไทยดำจะมีสารเคมีตัวหนึ่งซึ่งสามารถทำให้เยื่อหุ­­้มเซลล์ในจมูกระคายเคืองจนต้องไล่น้ำมูกออกมาโดยเร็ว ฉะนั้นจมูกก็จะโล่งมากขึ้น โดยการใช้พริกไทยดำเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกให้ใช้น้ำมันสกัดจาก­­พริกไทยดำ 3 หยด นำไปต้มในน้ำ 1 ถ้วยตวง แล้วผสมน้ำมันยูคาลิปตัสลงไปเล็กน้อย ต้มจนไอร้อนพุ่งตัวออกมาแล้วจึงนำน้ำต้มนั้นมาสูดดมเพื่อบรรเทา­­อาการได้เลย

4. รักษาอาการเคล็ดขัดยอก

          อาการเคล็ดขัดยอกจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุที่ทำให้คุณรู­­้สึกเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อ สามารถบรรเทาได้โดยนำน้ำมันสกัดจากพริกไทยดำ 2 หยด ผสมกับน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่ ประมาณ 4 หยด เข้าด้วยกัน (คุณสามารถผสมน้ำมันสกัดจากขิงแทนน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่ได้นะคะ) แล้วนำมานวดบริเวณที่เคล็ดขัดยอกเบา ๆ ฤทธิ์ร้อนของพริกไทยดำจะซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อและช่วยคลายกล้ามเ­­นื้อที่หดเกร็งจนเกิดอาการเคล็ดขัดยอก เรียกว่าใช้ได้ดีไม่แพ้ยาแก้เคล็ดขัดยอกราคาแพง ๆ เลยล่ะ
 
5. ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยได้

          หากรู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองเติมเมนูพริกไทยดำลงในมื้ออาหารของคุณสิคะ พริกไทยดำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งเป็นกรดในช่องท้องที่มีหน้าที่ปรับสมดุลการย่อยของอาหาร ทำให้ท้องไส้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น

6. บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส

          พริกไทยดำมีสารต้านอนุมูลอิสระและมีสรรพคุณในการต้านเชื้อแบคที­­เรียค่อนข้างสูง เราจึงสามารถนำพริกไทยดำมาขัดผิวเพื่อให้พริกไทยดำช่วยชำระล้าง­­ผิวให้ผ่องใสได้สบาย ๆ อีกทั้งคุณสมบัติเรื่องความร้อนยังช่วยเปิดรูขุมขนให้ผิวของเรา­­ คราวนี้ความสกปรกและไรฝุ่นที่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวหนังก็จะถูกกำจัด­­ออกไปจนเกลี้ยง สะดวกกับการชโลมครีมบำรุงผิวพรรณขั้นล้ำลึกอีกด้วยนะคะ



ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Thursday, June 6, 2019

ประโยชน์ของใบพลู กับหลากสรรพคุณรักษาโรค


          ใบพลู พืชสมุนไพรไทย กับสรรพคุณช่วยรักษาสารพัดอาการ ที่เป็นภูมิปัญญาแบบไทย ๆ

                                                                   ดูบอลออนไลน์

          เอ่ยถึงใบพลู คนฟังจะจินตนาการย้อนยุคไปไกลหลายสิบปี นึกเห็นภาพคุณย่าคุณยายกับตะกร้าหมากและปากแดง ๆ ที่มีน้ำหมากไหลย้อยนิด ๆ ที่มุมปาก และกระโถนสำหรับบ้วนน้ำหมากทิ้ง ที่ต้องเล่าให้เห็นภาพอย่างนี้เพราะคนไทยที่อายุต่ำกว่า 40 ปีแทบจะไม่เคยเห็นวัฒนธรรมการกินหมากพลูกันแล้ว ยังมีบ้างก็ในชนบทต่างจังหวัดที่ยังคุ้นชินตาในวิถีดำรงชีวิตประจำบ้าน (คนที่กินหมากไม่ใช่แค่คุณย่าคุณยายเท่านั้น คุณปู่คุณตาก็กินด้วย แต่ไม่นิยมหิ้วตะกร้าหมาก อย่างมากก็พกใส่ชายพกสักคำสองคำ)
   
          ใบพลูนั้นเป็นของคู่กันกับหมากมาช้านาน คนไทยจึงเรียกว่าหมากพลูคู่กันเสมอ ปัจจุบันบทบาทของหมากพลูที่แพร่หลายคือใช้เป็นเครื่องไหว้บูชาในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ หรือใช้ไหว้พระไหว้เทพเจ้า

          การเคี้ยวหมากพลูกลายเป็นของต้องห้ามของคนไทยตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตัดต้นหมากและพลูทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนักเพราะหมากพลูไม่ได้ใช้ประโยชน์แค่นั้น แต่ยังเป็นยาที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะพลูนั้นใช้ประโยชน์ได้เสมือนยาสามัญประจำบ้านปลูกไว้มีแต่ได้ประโยชน์
   
          ย้อนกลับไปในอดีต ใบพลูเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่มีการเก็บอากรภาษี ค้างละหนึ่งบาท หรือที่เรียกว่าไม้ค้างพลู (หนึ่งค้างก็เหมื่อนพลูหนึ่งต้น) อันแสดงให้เห็นว่าเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจที่มีการซื้อขายกันมายาวนาน และพลูยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการกินหมากของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นไปถึงเอเชียใต้ อย่างมิอาจบอกได้ว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดการกินหมากพลูนั้นเริ่มมาจากที่ใดกันแน่ ดังนั้นจึงมีการส่งใบพลูและหมากออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศในสมัยนั้นจำนวนไม่น้อย


          แม้ปัจจุบันความสำคัญของการบริโภคหมากพลูเรียกได้ว่าแทบจะหมดไปแล้ว ยังเหลือการใช้เป็นเครื่องบูชาที่จะขาดมิได้เท่านั้น จนทำให้ชาวสวนพลูจำนวนไม่น้อยหันหลังให้กลับอาชีพนี้ และบางส่วนที่ยังทำอยู่ก็ดูเหมือนจะไร้ผู้สืบทอด ในความเป็นจริงแล้วอนาคตของสวนพลูยังสดใสเปลี่ยนจากการปลูกแล้วกิน เป็นการปลูกและนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหย ตลาดน้ำมันหอมระเหยโดยรวมทุกชนิดนั้นมีมูลค่าการตลาดมหาศาล สำหรับน้ำมันหอมระเหยใบพลูแม้จะไม่ติดอันดับต้น ๆ แต่ราคาซื้อขายต่อกิโลกรัมราคาก็ไม่น้อย ปัจจุบันซื้อขายกันกิโลกรัมละ 23,000-25,000 บาท
 
          อนาคตของชาวสวนพลูยังมีแนวโน้มที่ดีถ้ามีการพัฒนากระบวนการตั้งแต่การปลูกและผลิตอย่างเป็นรูปธรรมกระทั่งไปสู่กระบวนการแปรรูป เพราะน้ำมันหอมระเหยใบพลูสามารถพัฒนาเป็นเครื่องสำอางเพื่อความงาม ยาระงับกลิ่นกาย ยาอมบ้วนปาก น้ำมันนวดคลายกล้ามเนื้อ ขี้ผึ้งหรือครีมฆ่าเชื้อรารักษาโรคเชื้อราต่าง ๆ ทำสบู่ก้อน สบู่เหลว ได้ เป็นต้น
   
          น้ำมันหอมระเหยใบพลู หรือ Betel Vine สกัดจากใบพลู น้ำมันหอมระเหยมีสีเหลืองออกน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุนค่อนข้างมาก มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในครีมหรือน้ำมันนวดบริเวณช่องท้องเพื่อดูแลระบบทางเดินอาหาร
   
          สรรพคุณของใบพลูคือ ใบ ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง แก้ลมพิษและฆ่าพยาธิ รักษาแผลช้ำบวม เลือดกำเดาออก แก้ลมพิษ แก้อาการคัน น้ำมันจากใบ แก้คัดจมูก อมกลั่วคอแก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด
   
          สารสำคัญในใบพลูมีหลายชนิดซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ยับยั้งการเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง ต้านเชื้อราของโรคผิวหนังและกลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ลดการปวดบวมของกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก


   
การใช้ใบพลูรักษาโรคและอาการต่าง ๆ นั้นพบว่ามีการใช้แบบง่าย ๆ อาทิ 

           -ดับกลิ่นปาก ใช้เคี้ยวแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้ง ช่วยดับกลิ่นปากได้
           -ดับกลิ่นกาย ใช้ใบสดขยี้ให้แหลกแล้วใช้ทาถูที่ใต้รักแร้เป็นประจำ
           -แก้ลมพิษ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดผสมเหล้าขาวเล็กน้อย ใช้ทาจนหาย
           -แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนสักหนึ่งแก้วดื่ม ช่วยลดอาการปวดจุกแน่นเฟ้อและบำรุงกระเพาะอาหารด้วย
           -ลดปวดบวม ใช้ใบพลูเลือกใบใหญ่ ๆ นำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบบริวณที่ปวดบวมช้ำ
           -รักษากลากและฮ่องกงฟุต เอาใบสดโขลกให้ละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น
   
          นัยที่สำคัญของพลูในยุคก่อน นอกจากเป็นเครื่องเคี้ยวคู่กับหมากใช้ต้อนรับแขก ใช้เชื่อมสัมพันธ์พบปะสังสรรค์ยังเป็นเครื่องบอกรักระหว่างหนุ่ม-สาว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้หมากพลูไปแล้วอีกฝ่ายให้หมากพลูตอบกลับ แสดงว่ารักนั้นสมหวัง แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องดื่มน้ำบัวบกแทน หนุ่มสาวยุคใหม่ถ้าใครสนใจก็นำไปใช้ลองดู แต่คิด ๆ ไปแล้วอีกฝ่ายที่รับคงนึกว่าเขาเอามากราบไหว้ตัวเองมากกว่าจะบอกรักเป็นแน่แท้



ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Wednesday, June 5, 2019

หนุมานประสานกาย แก้หอบหืด แก้ไอ เจ็บคอ


          หนุมานประสานกาย สมุนไพรแก้หอบหืดตัวเด็ดอีกชนิดหนึ่ง สำหรับคนที่อยากเลี่ยงการใช้ยา ลองรักษาโรคหอบหืดด้วยสมุนไพรไทยดี ๆ ตัวนี้สิ      ดูบอลออนไลน์

          อากาศชื้นมักกระทบต่อเด็กและผู้สูงวัยที่ภูมิต้านทานน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ๆ ความชื้นจะทำให้เป็นไข้หวัด ไอ ได้เร็วและอยู่นาน เมื่อก่อนไข้หวัดในบ้านเราไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เมื่อเป็นก็รักษาตามอาการ แต่พอโลกกว้างขวางเรียกว่าโลกาภิวัตน์ หรือโลกไร้พรมแดน การพัฒนาของโรคก็เติบโตตาม ไข้หวัดในวันนี้มีสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น มีความรุนแรงของโรคมากขึ้น รักษายากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น ดังนั้นต้องเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันไข้หวัดและอันตราย
   
          เมื่อเป็นไข้หวัด ต้องรีบรักษา ดูแลสุขภาวะในครอบครัวให้สะอาด เมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูกาลของการระบาดของโรคก็ควรต้องระวังในเรื่องอาหารการกิน เครื่องดื่ม น้ำควรดื่มน้ำต้มสุก อาหารควรปรุงให้สุกและร้อน และสิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการดูแลควบคู่กับการป้องกันสุขภาพจากโรคภัยไข้เจ็บได้คือการใช้สมุนไพรในรูปของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายเราได้
   
          หนุมานประสานกาย (Edible-stemed Vine) เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ใช้ในการป้องกันและต่อสู้กับไข้หวัด รวมไปถึงหอบ หืดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นพืชในวงศ์ Araliaceae ชื่อวิทยาศาสตร์ Schefferaleucantha R. Vig. มีข้อมูลการวิจัยพบว่ามีสารออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมขยายแต่ไปกดหัวใจ สาระสำคัญเหล่านี้เป็นสารกลุ่มซาโปนิน สามารถขยายหลอดลม ซึ่งจะหลดการหลั่งสารฮีสตามีน และสารเมซโคลินที่ก่อให้เกิดการแพ้ สกัดสาร?เอทานอลจาก?ใบหนุมานประสานกาย สามารถกระตุ้น?การสร้าง?เนื้อ?เยื่อบุผิว?ให้?เร็วขึ้น ?และ?เพิ่ม?การหดตัวของบาด?แผล?ได้มากกว่า?แผลที่?ไม่?ได้?ใช้สมุน?ไพร ซึ่งที่พบนั้นสอดคล้องกับตำรายาไทยโบราณที่มีการนำใบหนุมานประสานกายไปใช้รักษาโรคหอบหืดและใช้ในการสมานแผล
   
 หนุมานประสานกาย


          สรรพคุณทางยาไทยบันทึกว่า ใบรสหอมเผ็ดปร่า ขมฝาดเล็กน้อย แก้เจ็บคอ คออักเสบ แก้ปอด และหลอดลมอักเสบ แก้ช้ำใน แก้เส้นเลือดฝอยในสมองแตก ทำให้เป็นอัมพาต แก้อาเจียนเป็นเลือด กระจายเลือดลมที่จับกันเป็นก้อนหรือคั่งภายใน ใช้ภายนอกตำพอกแผลสด ห้ามเลือด สมานแผลแก้อักเสบบวมทั้งต้น รสหอมเผ็ดปร่าขมฝาดเล็กน้อย ทำให้เลือดลมเดินสะดวก ต้มดื่มรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้

   
          หมอพื้นบ้านแนะวิธีการนำมาใช้ประโยชน์ ใช้แก้ไอ เอายอดสดสัก 2-3 ยอด ล้างให้สะอาดเคี้ยวให้แหลกแล้วกลืนกินทั้งเนื้อและกาก ใช้แก้ไอในช่วงที่ยังไม่ไอมากนักมักได้ผลดี แก้เจ็บคอและร้อนในได้ด้วย ถ้าขมมากรู้สึกว่ากลืนไม่ไหวก็กลืนเอาแต่น้ำคายกากทิ้ง หรือเอายอดสดสัก 5-10 ช่อ ต้มกับน้ำ 2 แก้วให้เหลือ 1 แก้ว ดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร รักษาโรคหอบหืด หรือใช้ใบสด 10 ช่อตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเหล้าขาว ใช้เป็นยาแก้ไอ แก้หอบหืด แก้อาเจียนเป็นเลือด

          นำใบสดต้มกินต่างน้ำ หรือทำเป็นใบชาจิบบ่อย ๆ จะช่วยในเรื่องลดอาการภูมิแพ้ลงได้ด้วย ใช้ใบสดตำให้ละเอียด เอากากมาพอก หรือทาสมานแผล และห้ามเลือด
   
          ข้อควรระวัง ห้ามใช้กับคนเป็นโรคหัวใจ คนที่มีไข้สูง หญิงมีครรภ์ และห้ามกินยานี้ในขณะที่กำลังเหนื่อย ๆ หรือในขณะที่หัวใจเต้นเร็ว เช่นหลังออกกำลังกายเพราะจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
   
          หนุมานประสานกายเป็นพืชที่ปลูกง่าย เมื่อเติบโตแล้วก็ไม่ต้องการการดูแลมาก ปลูกใส่กระถางไว้สักกระถาง  สามารถเก็บใช้ประโยชน์ได้นานและยังได้ยาที่เก็บใช้ได้ทันใจ บางวันถ้าโดนละอองฝนรู้สึกเจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เด็ดเอาใบหนุมานสักช่อเคี้ยวให้ละเอียด กลืนเอาแต่น้ำแล้วคายกากทิ้งก็สามารถช่วยได้มากเลย รสชาติออกจะขมบ้างแต่ไม่ขมจัดเท่าฟ้าทะลายโจร แต่ถ้าเป็นกลุ่มหอบหืดอาจใช้เวลาในการรับประทานติดต่อกันนานสักหน่อยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย




ขอบคุณแหล่งที่มา   www.blogger.com

Monday, June 3, 2019

ใบฝรั่ง สรรพคุณนับไม่ครบ ไม่ได้จบแค่ช่วยดับกลิ่นปาก


สรรพคุณใบฝรั่ง ฝรั่งเป็นผลไม้ที่คุ้นลิ้นและคุ้นชื่อกันดีอยู่แล้วในบ้านเรา แต่ที่หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยแน่ ๆ ก็คือ ไม่ใช่แค่ผลฝรั่งนะคะที่กินแล้วอร่อยแถมดีต่อสุขภาพ แต่ใบฝรั่งก็มีสรรพคุณหลายต่อหลายอย่าง ทั้งช่วยดับกลิ่นปาก แก้ท้องเสีย ท้องร่วง รักษาโรคเหงือก แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี  โพแทสเซียม ไลโคปีน และไฟเบอร์ การันตีว่าดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญช่วยบรรเทาและรักษาได้หลายโรคตามข้อมูลจากบรรทัดถัดจากนี้    ดูบอลออนไลน์


สรรพคุณของใบฝรั่ง ของดีต้องบอกต่อ

*ช่วยระงับกลิ่นปาก

          ใบฝรั่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psidium guajava L. ในใบฝรั่งมีน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดจึงสามารถช่วยระงับกลิ่นปากได้ดี โดยเฉพาะปัญหากลิ่นปากที่เกิดจากฟันผุ เหงือกอักเสบ เศษอาหารเน่าค้าง หรือกลิ่นปากจากการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง รวมทั้งกลิ่นเหล้าและบุหรี่ ส่วนวิธีใช้ก็เพียงนำใบฝรั่งสดประมาณ 3-5 ใบ ล้างให้สะอาดแล้วค่อยนำมาเคี้ยวก่อนคายกากทิ้ง

สรรพคุณใบฝรั่ง

*บรรเทาอาการปวดฟันจากเหงือกอักเสบ

          จากการศึกษาของคณะเภสัชพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผู้ป่วยจำนวน 70 คนที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบฝรั่งสามารถลดอาการอักเสบของเหงือกและบรรเทาอาการปวดฟันจากเหงือกอักเสบได้ร้อยละ 19.8 เนื่องจากในใบฝรั่งมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบได้นั่นเอง

*ลดการบีบตัวของลำไส้ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง

          ใบฝรั่งมีเควอร์ซิทิน (Quercetin) และ Quercetin-3arabinoside มีฤทธิ์ยับยั้งแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) จึงช่วยให้หยุดถ่าย และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อพยาธิที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ท้องร่วงได้ โดยวิธีรับประทานใบฝรั่งเป็นยาแก้ท้องเสียให้นำใบฝรั่ง 10-15 ใบมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นโขลกพอแหลกแล้วนำไปต้มกับน้ำ 1 แก้วใหญ่ ผสมเกลือปรุงรสไปเล็กน้อย พอเดือดแล้วจึงพักให้หายร้อนแล้วนำมาจิบเป็นชาใบฝรั่ง

สรรพคุณใบฝรั่ง

*ลดน้ำตาลในเลือด

          จากการทดลองพบว่า สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอลสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่ถูกฉีดสารให้ใกล้เคียงโรคเบาหวานได้ โดยสารสกัดใบฝรั่งสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ต่อไป

* ต้านเซลล์มะเร็ง

          ผลการวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบฝรั่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งไฟโบรซาร์โคมา (Fibrosarcoma) และช่วยต้านเชื้อเซลล์มะเร็งเต้านมได้

สรรพคุณใบฝรั่ง

* ลดอาการปวดประจำเดือน

          ใบฝรั่งที่สกัดจากสารเอทานอล จะมีสารฟลาโวนอยด์ผสมอยู่ด้วย ซึ่งสารนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยแนะนำให้นำใบฝรั่งสดล้างสะอาดไปแช่น้ำไว้สักครู่ ก่อนนำน้ำที่แช่ฝรั่งมาจิบทีละน้อย ทว่าสรรพคุณของใบฝรั่งข้อนี้อาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่กินยาคุมกำเนิดหรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนนะคะ

* รักษาไข้หวัด

          ใบฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่สูงมาก ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปจัดการกับเชื้อไวรัสไข้หวัดได้อย่างอยู่หมัด โดยสารในใบฝรั่งจะช่วยลดน้ำมูกและลดการแพร่กระจายของเชื้อหวัดในร่างกาย อาการไข้หวัดที่มีอยู่จึงจะทุเลาลงเรื่อย ๆ แต่ที่สำคัญ การใช้ใบฝรั่งรักษาไข้หวัดต้องใช้ใบฝรั่งที่ผ่านกระบวนการทำให้สุกเสียก่อนจึงจะเห็นผล

* รักษาสิว

          ใบฝรั่งมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และอุดมไปด้วยวิตามินซี เหมาะสำหรับการรักษาสิวและลดริ้วรอยด่างดำจากสิวได้ โดยนำใบฝรั่งล้างสะอาดมาโขลกให้ละเอียด จากนั้นผสมน้ำต้มสุกลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ได้น้ำมาแต้มสิวและรอยดำจากสิว

* เป็นยาห้ามเลือด

          ใช้ใบฝรั่งสดล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมาตำจนแหลกแล้วค่อยนำไปพอกที่แผลสด เลือดจะหยุดไหลและใบฝรั่งจะช่วยลดอาการอักเสบ

* ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร

          น้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในใบฝรั่งไม่เพียงแต่ช่วยดับกลิ่นปากได้เท่านั้น แต่ยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้อีกอย่าง ทำให้ไม่เกิดอาการแน่นท้อง

          เห็นชื่อเสียงใบฝรั่งเงียบ ๆ แบบนี้ แต่อันที่จริงแล้วสรรพคุณใบฝรั่งนี้เพียบจนน่าทึ่งไปเลยนะคะ



ขอบคุณแหล่งที่มา  www.blogger.com

Sunday, June 2, 2019

ทองพันชั่ง



ทองพันชั่ง

          เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ "ทองพันชั่ง" หลายพื้นที่อาจเรียกว่า "ทองคันชั่ง" หรือ "หญ้ามันไก่" เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด ดูบอลออนไลน์ เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน 

          นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า "ทองพันชั่ง" มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน


ขอบคุณแหล่งที่มา www.blogger.com

Saturday, June 1, 2019

น้ำมะขาม ดื่มเพื่อสุขภาพแก้ท้องผูก


          อย่างที่รู้กันว่าใน มะขามเปียก นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ที่นอกจากจะไว้เติมรสเปรี้ยวให้กับอาหารได้แล้ว หลายคนนิยมนำมาทำเป็นสเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพด้วย เพราะในมะขามมีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สามารถป้องกันอาการหวัดได้ดีทีเดียว และยังโดดเด่นด้วยสรรพคุณในการแก้อาการท้องผูก เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น แถมยังมีสารช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย วันนี้เราจึงนำสูตรน้ำมะขามมาฝากให้ผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อย ๆ นั้นได้ลองทำดื่มเพื่อช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น

ส่วนผสม น้ำมะขาม

      • มะขามเปียก 100 กรัม
      • น้ำ 3 ถ้วย
      • น้ำตาลทรายแดง 180 กรัม
      • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
      • น้ำแข็งก้อน



วิธีทำน้ำมะขาม

     1. ใส่น้ำกับมะขามเปียกลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนมะขามเปียกละลายกับน้ำ ต้มจนเดือด ยกลงจากเตา กรองเอาแต่น้ำ
     2. เทน้ำมะขามเปียกกลับลงในหม้อ น้ำขึ้นตั้งไฟปานกลาง เติมน้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมให้เข้ากันจนน้ำตาลทรายละลาย ต้มจนเดือด ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
     3. เวลาจะดื่มใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตักน้ำมะขามใส่ แต่งให้สวยงาม พร้อมดื่ม


ขอบคุณแหล่งที่มา  https://cooking.kapook.com